มนุษย์ทุ่มเทเวลามากมายแสวงหาความสุข, เงินทอง, ใช้เวลามากมายตกแต่งร่างกาย รูปร่างหน้าตา ให้ดูดี, หาเครื่องประดับ, ออกท่องเที่ยว, ดู social media รอคนมากด like…คริสเตียนไม่น้อย ก็เช่นกัน แสวงหาความสุข มากกว่า จะแสวงหาความบริสุทธิ์ ทั้งที่พระเจ้าตรัสถึง 8 ครั้งว่า…

‘จงบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์’ ‘Be holy, because I am holy’

มีผู้กล่าวว่า เราไม่อาจเรียกพระใดๆว่า ‘บริสุทธิ์’ แต่ ‘องค์บริสุทธิ์’ เป็นชื่อหนึ่งของพระยาเวห์ คำนี้ปรากฎในพระธรรมอิสยาห์เล่มเดียวถึง 30 ครั้ง

‘คริสตจักรที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีประโยชน์ต่อโลกนี้ และไม่มีคุณค่าในสายตามนุษย์ โอ ช่างเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ.. เมื่อคริสตจัตรนั้นตาย มันก็ยิ่งก่อให้เกิดความน่ารำคาญ ผู้นำความชั่วที่เลวร้ายที่สุดที่เคยมีเข้ามาในโลก คือ ‘เมื่อคริสตจัตรนั้นตาย มันก็ยิ่งก่อให้เกิดความน่ารำคาญ ผู้นำความชั่วที่เลวร้ายที่สุดที่เคยมีเข้ามาในโลก คือ คริสตจักรที่ไม่บริสุทธิ์ C.H. Spurgeon 24 jan 1861

Spurgeon เห็นว่า ผู้นำฝ่ายโลกที่ชั่วร้าย ยังไม่น่ากลัวเท่า คริสตจักรที่ไม่บริสุทธิ์…คริสตจักร จะบริสุทธิ์(holy) ได้อย่างไร หากคนในคริสตจักร ไม่บริสุทธิ์(pure)

บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า มธ.5:8  คุณสมบัติข้อที่ 6 ของการเป็นสาวกของพระคริสต์ คือ ‘pure in heart’

คำว่า pure มี 2 ความหมาย: ความหมายแรก คือ To make pure by cleaning from dirt: การล้างสิ่งสกปรกออกไป อันเป็น ‘ก้าวแรก’ ของความบริสุทธิ์

มนุษย์ทราบดีว่า ความสกปรกเป็นเรื่องที่ไม่ดี คนจำนวนหนึ่ง ได้พยายาม practice  purity ซึ่งมีในหลายความเชื่อ เช่น ทานเจ, นุ่งห่มขาว, งด alcohol, ทรมานตน, คลานเข่าแสวงบุญ… การปฏิบัตินี้ ยังเทียบไม่ได้ กับ บางกลุ่มคนในสมัยพระเยซู คือ พวกฟาริสี

พระธรรม มธ. 9 เล่าเรื่อง พระเยซู ทรงเรียกมัทธิวที่ด่านภาษี ให้เป็นสาวก จากนั้นพระองค์ก็ไปทานอาหารร่วมกับเขา เมื่อพระองค์ประทับเสวย..อยู่ในเรือน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นหลายคน เข้ามาร่วมสำรับ เมื่อฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่สาวกของพระองค์ว่า ‘ทำไมอาจารย์ของท่านจึง..ทานอาหาร..กับคนเก็บภาษี และคนนอกรีตเล่า’

ผู้ทรงศีลอย่างฟาริสีมองเห็นคนบาปมากมายในบ้านมัทธิว แต่พระเยซูตรัสว่า ‘วิบัติแก่เจ้า …พวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มไปด้วยโจรกรรมและ…กิเลส’ มธ.23:25

ทั้งคนทั่วไป และพระเยซูทราบว่า พวกฟาริสี ‘ประพฤติ’ ตนได้บริสุทธิ์ แต่พระเยซูตรัสว่า ผู้เป็นสุข คือ ผู้ที่ ‘ใจ’บริสุทธิ์ มิใช่ผู้ที่ประพฤติบริสุทธิ์ สำหรับพระองค์แล้ว เพียงแค่ outward purity ไม่เพียงพอ…พระองค์ประสงค์ ‘pure in heart’

มีเรื่องเล่าว่า ลูกชายนักการเมืองท่านหนึ่ง อยากจะเล่นการเมือง จึงถามบิดาว่า ‘คุณพ่อครับ เราต้องซื่อสัตย์ใช่ไหมครับ’ ผู้พ่อตอบว่า ‘ไม่จำเป็นต้องซื่อสัตย์หรอกลูก…แค่ทำให้ประชาชน ‘เชื่อ’ ว่า เราซื่อสัตย์ ไม่โกงก็พอแล้ว’

เรื่องนี้ อาจดูเหมือนเลวร้าย แต่อย่างน้อย นักการเมืองผู้คดโกงท่านนี้ ก็รู้ว่า อะไรผิด-ถูก จึงพยายามทำให้ผู้อื่นเชื่อว่า เขาสัตย์ซื่อ

สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า คือ การชักนำ โน้มน้าวให้สังคมเชื่อว่า สิ่งที่ผิดนั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เช่น ‘โกงก็ได้ ไม่เป็นไร ขอให้เก่ง/มีความสามารถ’

ในโลก มีคนใจไม่สะอาดอยู่ 3 ประเภท

#1 ภายนอกดูดี ตั้งใจทำดี แต่ไม่ตระหนักว่า ใจของเขานั้นไม่บริสุทธิ์ ได้แก่ พวกฟาริสี

#2  รู้ดีว่า ใจไม่บริสุทธิ์ แต่แสร้งทำดี หรือปิดบังบาปไว้ ได้แก่ นักการเมืองผู้พ่อ หรือ กษัตริย์ดาวิด ผู้เอานางบับเชบามาเป็นภรรยา และฆ่าสามีของนางทางอ้อม เพื่อปิดบังความบาปของตน

#3 ทราบว่า ทำไม่ถูกแต่ไม่สนใจ หรือพยายามเปลี่ยนมาตรฐานของความถูกต้อง  ได้แก่ บุตรชายทั้งสองของเอลี ซึ่งไม่สนใจกฎเกณฑ์พระเจ้า (1ซมอ.2:12-16) มนุษย์ได้แบ่งประเภทใหม่ ให้แก่ของ ‘สะอาด-ไม่สะอาด’ ตามแต่ใจตน และคนไม่น้อยได้ดำเนินตามรอยนี้

จอห์น เวสลีย์ได้กล่าวไว้ว่า ‘ความสะอาด เป็นสิ่งที่อยู่ถัดกับการดำเนินในทางของพระเจ้า’ เมื่ออิสราเอล ออกจากอียิปต์นั้น พระเจ้าประทาน ‘กฎ’ เกี่ยวกับเรื่องความสะอาด และสิ่งที่ไม่สะอาด(มลทิน) แก่ชนชาตินี้ ไม่ว่า จะเป็นเรื่องเพศ, อาหาร, การแตะต้อง, การกักกันโรค, การชำระมลทิน..

กฎของพระองค์ชัดเจน : สิ่งใดแตะต้องได้(สะอาด) สิ่งใดแตะต้องไม่ได้(มลทิน) แต่การไม่เชื่อฟังในเรื่องนี้ นำไปสู่ต้นกำเนิดแห่งความบาป…เริ่มจากบรรพบุรุษคู่แรก

ต้นไม้กลางสวน เป็นสิ่งต้องห้าม แต่เอวา ‘เห็นว่า ต้นไม้นั้นน่ากิน หญิงนั้น…จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน..’ ปฐก.3:6 เอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า เธอ ‘จัดประเภทใหม่’ ให้แก่สิ่งที่แตะต้องได้-สิ่งต้องห้าม ตามแต่ใจ/ความต้องการของเธอเอง

ปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน มีการยอมรับให้เพศเดียวกันสมรสกันได้, การทำแท้งเป็นเรื่องถูกกฎหมาย, อยู่กินกันก่อนแต่งงาน, เพศนอกชีวิตสมรส…เรื่องเหล่านี้ กลายเป็นเรื่องยอมรับได้ และถูกสนับสนุน …มนุษย์ได้ แบ่งประเภทใหม่ ระหว่าง สิ่งสะอาด และ สิ่งต้องห้าม แต่พระเจ้าตรัสว่า

‘วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่เรียกความชั่วร้ายว่าความดี และเรียกความดีว่า ความชั่วร้าย ผู้ถือเอาว่า ความมืดเป็นความสว่าง และความสว่างเป็นความมืด’ อสย.5:20

บาปแรกเข้ามา เมื่อมนุษย์ไม่ฟังพระเจ้า และใช้ความคิดตนเองตัดสิน, ใจที่ไม่บริสุทธิ์ แยกแยะถูก-ผิด ไม่ได้ และเมื่อแยกแยะถูก-ผิดไม่ได้ มันจะนำความบาปมาสู่ตนเอง และผู้อื่นด้วย

หญิงนั้น…จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีกินด้วย ปฐก:3:6 คนบาปจะชักนำคนอื่นๆให้บาปตาม

ตาของเขาทั้งสองก็สว่างขึ้น จึงสำนึกว่า ตนเปลือยกายอยู่ ปฐก.3:7

ความบาป กับ เปลือยกาย มีบางสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ มันเย้ายวน และมันเป็นความน่าอับอาย เมื่อมันปรากฏอยู่ต่อหน้าผู้อื่น สักวัน บาปของมนุษย์ จะถูกเปิดเผยในที่แจ้ง

‘ไม่มีสิ่งใดที่ถูกปิดบังไว้ จะไม่ได้รับการเปิดเผย หรือที่ซ่อนไว้ จะไม่ถูกทำให้ประจักษ์แจ้ง สิ่งที่ท่านกล่าวในที่มืด จะได้ยินในที่แจ้ง และสิ่งที่ท่านกระซิบใส่หูในห้องชั้นใน จะถูกป่าวประกาศจากหลังคาบ้าน’ ลก.12:2-3

ความบาปของผู้คนซึ่งทำในที่มืด จะถูกนำออกมาวางในที่แจ้ง ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า…เราจะเปลือยเปล่าต่อหน้าผู้คน

เมื่ออาดัม และเอวาสำนึกว่า ตนเปลือยอยู่ เขาพยายามปกปิดความเปลือยเปล่าด้วยวิธีที่เขาคิดขึ้นเอง โดยใช้ใบมะเดื่อมาปกปิดร่างกาย

คำถาม: วิธีของเขา ได้ผลไหม? ข้าพเจ้าคิดว่า ได้ผล…อย่างน้อยก็ในความคิดของทั้งสอง หรืออย่างน้อย…

ตราบเท่าที่พระเจ้า ยังมิได้เสด็จมา เช่นกัน มนุษย์มากมาย พยายามกลบบาปของตน ด้วยวิธีต่างๆ เท่าที่เขาจะคิดได้ ซึ่งก็ทำให้เขาสบายใจได้ชั่วคราว แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า วิธีของมนุษย์นั้น จะไร้ความหมาย เมื่อพระเจ้าเสด็จมา

เย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระ‍‍เจ้า..ก็หลบไปซ่อนตัว..พระเจ้า.ตรัสถามเขาว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน?” ชายนั้นทูลว่า “…ข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ จึงได้ซ่อนตัวเสีย” ปฐก.3:8

ก่อนหน้านี้ อาดัม และเอวา คิดว่า ใบมะเดื่อทำหน้าที่ของมันได้ แต่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เขายังคิดว่า ตนเองเปลือยเปล่าอยู่ ใบมะเดื่อไม่อาจทำหน้าที่ของมัน เช่นกัน พิธีกรรมทางศาสนา และความดีทั้งหลายที่มนุษย์ทำ ก็ไม่ต่างจากใบมะเดื่อนี้ ‘การกระทำอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งสิ้น เหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก’ อสย.64:6

เพราะเหตุเจ้า..กินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไป ปฐก.3:17,19

บาป แค่เนี้ย??, ทั้งคู่ ยังไม่ได้ฆ่าใครเลย, ไม่ได้ล่วงประเวณี, ไม่ได้ทำร้ายใคร, ไม่ได้พูดโกหก ความจริง คือ …

หากมีน้ำเสีย 1 ถัง ใส่ wine ชั้นดีลงไป 1 ช้อน คุณได้น้ำโสโครก 1 ถัง, แต่ถ้ามี wine ชั้นเลิศ 1 ถัง ใส่น้ำเน่าลงไป 1 ช้อน สิ่งที่ได้ออกมา…คือ น้ำโสโครก 1 ถังเช่นเดิม (Schopenhauer’s law of entropy) บาปเพียงนิดเดียว ก็ทำให้ใจมนุษย์ไม่บริสุทธิ์ และความไม่บริสุทธิ์ มนุษย์ไม่อาจอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า

‍        ฉะนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงไล่เขาออกไปจากสวนเอเดน ปฐก.3:23

พระเจ้าทรงโหดร้าย?? คนไม่น้อยพิพากษาว่า พระเจ้าทรงโหดร้าย: ใจที่ไม่สะอาด ไม่เห็นทั้ง ‘พระองค์’, ‘งาน’ ของพระองค์ หรือ ‘พระคุณ’ ของพระองค์

Blessed are the pure in heart, for they will see God: หากบาปเพียงนิดเดียว ทำให้มนุษย์ไม่บริสุทธิ์ แล้วมนุษย์จะมี pure heart, จะเห็น พระเจ้า ได้อย่างไร?

มนุษย์ต้อง ‘เปิดใจ’ และ ‘ยอม’ ให้พระเจ้า ชำระใจ ของตน

พระเจ้าทรงขับอาดัมและเอวา ออกจากเอเดนก็จริง แต่ความจริง พระองค์มีพระคุณแก่เขามากมาย ทั้งสองครอบครองทุกสิ่ง โดยไม่ต้องลงแรง, ปกครองทุกอย่าง โดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย, มีอิสระทุกเรื่อง โดยมีกฎเพียงข้อเดียว และแม้เขาทั้งสอง จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า..ก่อนจะขับทั้งสองออกจากเอเดน..พระ‍‍เจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมกับเอวาสวมปกปิดกาย ปฐก.3:21

สิ่งนี้มีความหมาย 2-3 ประการ

#1. แม้จะทำบาป พระเจ้ามิได้ทรงหันหลังให้มนุษย์ พระคุณของพระองค์ ยังมีเสมอ แม้มนุษย์จะบาป, พระเจ้าทรงรังเกียจความบาป แต่พระองค์ยังทรงรักคนบาป, พระเจ้าทรงรังเกียจ ‘การ’ ล่วงประเวณี, ‘การ’ ผิดศีลธรรมทางเพศ และบาปอื่นๆ แต่พระเจ้าทรงรัก ‘คน’ ที่ล่วงประเวณี, ‘คน’ รักร่วมเพศ และคนบาปอื่นๆ ขอเพียงเขาจะไม่หันหลังให้พระองค์

#2. ค่าจ้างของความบาป คือ ความตาย รม.6:23 สัตว์อย่างน้อย 1 ตัว ในเอเดน ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกับเขา ต้องตาย เพราะบาปของเขา พระเจ้าตรัสว่า วันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะตาย ปฐม.2:17 ความจริงทั้งคู่ควรต้องตาย แต่ที่เขายังไม่ตายในวันนั้น เพราะบางคนตายแทนไปแล้ว

เสื้อหนังของอาดัม คือ ‘สัตวบูชา’ ครั้งแรกของโลก ..ถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย” ฮบ.9:22 การหลั่งเลือดของเครื่องสัตวบูชา ทำให้บาปได้รับการอภัยก็จริง แต่ก็เพียงแค่ชั่วคราว เช่นเดียวกับ เสื้อหนังของอาดัม ซึ่งใช้ปกปิดความเปลือย(ความบาป)ได้เพียงชั่วคราว เพราะเสื้อนั้นจะเปื่อย และขาด พวกเขาต้องหาเสื้อตัวใหม่ เช่นกันการหลั่งเลือดของโคและแพะนั้น ไม่อาจชำระบาปได้ถาวร… ฮบ.10:1-4 ปุโรหิต ต้องเผาถวายเครื่องเผาบูชาลบบาปซ้ำ ทุกปี

ที่ร้ายแรงที่สุด คือ อาดัมและเอวา ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในสวนเอเดนอีกต่อไป เครื่องเผาบูชา ไม่อาจนำการคืนดีกับพระเจ้าได้ เพราะ เครื่องเผาบูชา ชำระใจให้บริสุทธิ์ไม่ได้ เพราะเลือดโคและแพะไม่สามารถชำระบาปให้หมดสิ้นไปได้  ฮบ.10:4 แต่…

#3. พระองค์เตรียมแผนการ ช่วยมนุษย์ทั้งปวงไว้เรียบร้อยแล้ว ใจจะถูกชำระให้บริสุทธิ์ได้โดยความช่วยเหลือจากพระเจ้า พงศ์พันธุ์ของหญิง จะทำให้หัวของเจ้าแหลก ปฐก.3:15 พระเยซูประสูติจากหญิงพรหมจารีย์ และ พระองค์มาเพื่อสิ้นพระชนม์เป็นเครื่องบูชาลบบาปแทนเครื่องสัตวบูชา

พระคริสตร์ทรงถวายพระองค์เอง..เป็นเครื่องบูชาที่ลบบาปได้ตลอดไป, ให้คนทั้งหลาย..ได้รับการ..ชำระให้บริสุทธิ์ ฮบ.10:12,15 ขณะเรายังเป็นคนบาปนั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา รม.5:8 ตรงนี้แสดงถึงGod’s pure love

บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข : ใจบริสุทธิ์ (pure heart) เกิดขึ้นได้ เพราะความรักอันบริสุทธิ์ (pure love) และพระเมตตา(mercy)จากพระเจ้า

  • สิ่งที่เราคิดว่า เราเป็น
  • สิ่งที่ผู้อื่นมองเรา
  • และสิ่งที่พระเจ้าเห็นเรา
  • เหมือนหรือต่างกันหรือไม่?

ให้เราดูชีวิตของมัทธิว

#1 ฟาริสี กล่าวว่า มัทธิว เป็นคนบาป : เมื่อฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่สาวกของพระองค์ว่า ‘ทำไมอาจารย์ของท่านจึง..ทานอาหาร..กับคนเก็บภาษี และคนนอกรีตเล่า’

#2 พระเยซูตรัสว่า มัทธิวเป็นคนบาป : เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป’

#3 มัทธิว ยอมรับว่า ท่านเองเป็นคนบาป : ท่านบันทึกในพระธรรมมัทธิว เองว่า ในเรือนมีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆ

ในองค์พระคริสตร์ การยอมรับว่า ตนไม่บริสุทธิ์ นำไปสู่การแก้ไข ไม่ใช่การลงโทษ

ให้เรากลับมาดู คนใจไม่สะอาด 3 พวก พวกแรกภายนอกดูดี ตั้งใจทำดี แต่ไม่รู้ว่า ใจของเขาไม่บริสุทธิ์(ฟาริสี)

พวกที่สอง รู้ดีว่า ใจไม่บริสุทธิ์ แต่แสร้งทำดี หรือปิดบังบาปไว้(กษัตริย์ดาวิด) และ พวกที่สาม คือ ทราบว่า ทำไม่ถูกแต่ไม่สนใจหรือพยายามเปลี่ยนมาตรฐานของความถูกต้อง( บุตรของเอลี  )

บางคนเป็นเหมือนบุตรของเอลี ‘สมัยนี้ใคร เขาก็ทำกันทั้งนั้น อย่าทำมาเป็นเคร่งศาสนาหน่อยเลย’ ขณะที่หลายคนเล่นบทฟาริสี….ผมทำดีมาตลอด โน่นเลย Hitler, Stalin, ฆาตกร, นักการเมืองชั่วๆ นั่นแหละคนบาป ผมไม่ใช่คนบาปซะหน่อย…

แต่เราควรเอาอย่างกษัตริย์ดาวิด เมื่อพระเจ้าส่งนาธันมาเตือนว่า ท่านทำบาป เรื่องนางบับเชบา แต่แทนที่ดาวิดจะแก้ตัว ท่านได้ขอให้พระเจ้าจะทรงชำระตัวท่าน ขอทรงล้างข้าพระองค์ให้หมดจดจากความชั่วของข้าพระองค์ และขอทรงชำระข้าพระองค์จากบาปของข้าพระองค์ สดด.51:2 เมื่อมนุษย์ยอมพระเยซู ชำระจิตใจของตน เขาจะเป็นภาชนะสะอาดที่พระเจ้าทรงใช้ได้

ดัง St. Augustine ได้กล่าวไว้ “There is no saint without a past, no sinner without a future.” ไม่มีนักบุญคนใดที่ไร้อดีต และไม่มีคนบาปใด ที่ไร้อนาคต

เราสกปรก และเปลือยเปล่า เหมือนบรรพบุรุษ แต่พระเจ้า ทรงจัดเตรียมเสื้อให้แล้ว คนที่รับบัพติศมาเข้าร่วมในพระคริสต์แล้ว ก็ ‘สวม’ ชีวิตพระคริสติ์ กท.3:27

บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า

ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ใครๆก็เข้าเฝ้า หรืออธฐ.กับพระเจ้าได้ มีเพียงปุโรหิตเท่านั้น ที่เข้าเฝ้าพระเจ้าได้ เขาต้องสวมเสื้อปุโรหิต ลำดับการเข้าในพระวิหารก็ชัดเจน คนอิสราเอล คนต่างชาติ ถูกจัดให้แยกจากกัน..แต่พระเยซู ได้รื้อลำดับชั้นทางสังคม โดย มัทธิว 8-9 : บันทึก 3 เหตุการณ์ต่อเนื่องกัน ได้แก่ (1)พระเยซูรักษาคนผีเข้าที่เปลือยกาย ในดินแดนที่มีคนต่างชาติอยู่จำนวนมาก (2)พระองค์ทรงรักษาหญิงที่มีโลหิตตก (3)พระองค์ทรงชุบชีวิตลูกสาวนายธรรมศาลา

คนต่างชาติ, คนถูกผีสิง, ผู้ป่วย, ผู้พิการ,  ผู้แตะต้องศพ คนเหล่านี้ ล้วนเป็นคน ไม่สะอาด มีมลทิน แต่เมื่อพระเยซูสัมผัสเขา เขาก็สะอาด

บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า’ ดังพระธรรมอิสยาห์พยากรณ์ไว้ พระเจ้าจะทรงมีงานเลี้ยงใหญ่ เชิญทุกคน ทุกชาติพันธ์มา และ คำอุปมาของพระเยซู กษัตริย์เชื้อเชิญ ‘คนจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด’ มาร่วมงานฉลอง ความจริง คือ คนเหล่านี้ ไม่มีคุณสมบัติพอที่เป็น ‘แขกรับเชิญ’ ของพระเจ้า แต่พระองค์ก็ทรงเชิญ

ผู้มางานเลี้ยง เพียง ‘ตอบรับ’ คำเชิญ และ ‘สวมเสื้อ’ สำหรับงานเลี้ยง และพระเจ้าได้ทรงเตรียมเสื้อให้แล้ว ‘คลุมกาย’ (cloth) ของท่านด้วยพระคริสต์ รม.13:14 และภายใต้ ‘เสื้อคลุม’ นี้ เราเป็นบุตรของพระองค์…บุตรที่ทรงรัก

เราได้ใช้เวลา เพื่อแสวงหาความบริสุทธิ์ หรือ แสวงหาสิ่งใด? เราเอาจริงเอาจังกับ ความบริสุทธิ์เพียงใด?

อาหารสะอาด มีผลดีต่อสุขภาพร่างกายฉันใด, ความบริสุทธิ์ ก็มีผลดีต่อสุขภาพจิตวิญญาณฉันนั้น

ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย สดด.1:1 พระธรรมสดุดี เริ่มต้นด้วยการเตือนไม่ให้รับสิ่งที่ชั่วร้ายเข้าไป แต่ให้รับสิ่งดีๆจากพระเจ้า แต่ความปิติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน  สดด.1:2

ความสะอาด ฝ่ายร่างกาย ด้วยการอาบน้ำฉันใด, ความบริสุทธิ์ ฝ่ายจิตวิญญาณ ได้จากการชำระฉันนั้น เหตุฉะนั้น ..ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายามหมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ ฮบ.12:1-2

ถ้าเรามีพี่-น้อง พ่อ-แม่ หรือลูก ที่เป็นเหยื่อของการกระทำที่รุนแรง เราอยากเป็นเพื่อนกับคนร้ายเหล่านั้นไหม?เช่นกัน…เราอยากจะผูกมิตรกับสิ่งที่ทำให้พระเยซูต้องตายกระนั้นหรือ? ดูดวง, ภาพลามก, พนัน, การนินทา, เกียจคร้าน, อำนาจ, หลงตนเอง, อารมณ์ร้าย, บาดแผล…อธฐ. ขอให้พระเจ้าทรงชำระเรา ทอดพระเนตรว่า มีทางชั่วใดๆ ในข้าพระองค์หรือไม่ และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์สดด.139:23

ใจยิ่งบริสุทธิ์ มนุษย์จะยิ่งไวต่อบาป จุดดำเล็กๆ บนเสื้อขาว เห็นได้ชัดเจน    ใจยิ่งสกปรก มนุษย์จะยิ่งเฉยชาต่อบาป เหมือนกับ จุดดำ ซึ่งยากที่จะถูกเห็น ในเสื้อที่มิได้ขาวล้วน หลวงพ่อดานิเอลู ได้กล่าวว่า ‘การรับรู้ความบาปนั้น เป็นเครื่องวัดทางจิตวิญญาณว่า เรารู้จักพระเจ้ามากเพียงใด’

แม้บาปเพียงเล็กน้อย พระเจ้าก็ไม่ทรงปรารถนาให้มนุษย์เก็บงำเอาไว้ พระเจ้าอยากให้ เราบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะการพยายามทำตนให้บริสุทธิ์ จะทำให้เราได้ชีวิตนิรันดร์ แต่เพราะเราได้ชีวิตนิรันดร์แล้ว และเรากำลังเดินทางไปสู่งานเฉลิมฉลอง

เราได้ ‘คลุมกาย’ ด้วยเสื้อที่สะอาดหมดจด เราจะปล่อยให้ตนเองสกปรกหรือ? อ.เปาโลได้กล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าวิงวอนท่านทั้งหลาย ให้ถวายตัวท่านเองแด่พระองค์ เป็น เครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า รม.12:1

ไม่ใช่เพียงแค่ ‘สะอาด’ พระเจ้าปรารถนาให้ ‘สาวก’ เป็นมากกว่านั้นอีก ความบริสุทธิ์ มิใช่เพียงแค่ไม่สกปรก แต่ปราศจากสิ่งอื่นใดเจือปน

พระเจ้าปรารถนาให้เราถูกแยกไว้สำหรับพระองค์ ที่ใครๆ มองชีวิตเรา จะทราบได้ทันทีว่า เราเป็นของพระองค์…